i21

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทำไมต้องอ้วนเพราะเบียร์ ?
อ้วน!!! ไม่เกี่ยวกินเบียร์เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ แล้ววันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้องนักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้องทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น
"ดื่มอะไรที่มีแอลกอฮอล์มากไป ก็อ้วนได้"จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วยและคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี
แหล่งข้อมูล : บอร์ดสุขภาพ
ทำไม เวลาจั๊กจี้ตัวเองถึงไม่รู้สึกจั๊กจี้
เห็นเพื่อนๆ เล่นกัน เอานิ้วจิ้มเอวกันแล้วเค้าหัวเราะ บอกว่า จั๊กจี้ๆ บางคนก็โดนจับๆ เอาไว้แล้วอีกคนก็จี้ๆ ก็เห็นหัวเราะลั่นโลกเลยทุก ๆ หนึ่งตารางเซนติเมตรบนผิวหนังของเรา มีจุดที่ไวต่อความเจ็บปวด 100-200 จุด, จุดที่ไวต่อความสัมผัส 25 จุด, จุดที่ไวต่อความเย็น 10 จุด, จุดที่ไวต่อความร้อน 1 จุด แต่ไม่มีจุดที่ไวต่อความคัน อย่างไรก็ตาม เรามักมีความรู้สึกคันบ่อย ๆ เป็นความจริงทีเดียวเวลาเรารู้สึกคัน จะทำให้นั่งไม่ติด, นอนไม่หลับโดยจะต้องเอามือหรืออะไรมาเกาให้หายคันจึงจะสบาย มีบางคนเห็นว่า การที่รู้สึกคันหรือจั๊กจี้นั้น เพราะจุดที่ไวต่อความเจ็บปวดได้รับความเร้ากระตุ้น เลยทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น และก็มีบางคนเห็นว่าถึงแม้ยังไม่ได้พบจุดคันบนผิวหนังก็ตาม แต่อวัยวะรับสัมผัสความคันหรือความจั๊กจี้ต้องมีอยู่แน่ ๆ เช่นเวลาที่ถูกใครเขาจี้ที่ตัวที่บางแห่งไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่ออวัยวะรับสัมผัสความคันหรือความจั๊กจี้ถูกเร้ากระตุ้นจากประสาทซิมพาเธติคถ่ายทอดไปยังสมอง และสร้าง "ต่อมแห่งความคึกคัก" ซึ่งทำให้เรารู้สึกคันหรือจั๊กจี้แล้วทีนี้เวลาเราจี้ตัวเอง ทำไมจึงไม่เกิดความรู้สึกจั๊กจี้นะ? ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะความคึกคักในสมองได้ถูกรบกวนนั่นเอง ในขณะที่เราจี้ตัวเองนั้น เราได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อการเร้ากระตุ้นความรู้สึกจั๊กจี้ แม้ว่าจุดจั๊กจี้จะได้รับการเร้ากระตุ้น แต่ความคึกคักได้ก่อเป็นรูปร่างขึ้นในสมองอยู่แล้ว ดังนั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจึงย่อมแตกต่างออกไป เลยทำให้ไม่รู้สึกจั๊กจี้กล่าวง่าย ๆ คือ เวลาที่เราจั๊กจี้ตัวเอง "สมองจะรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จึงระงับปฏิกิริยาตอบสนอง" แต่ถ้าคนอื่นมาจั๊กจี้แล้วล่ะก็ เราไม่รู้ตัวมาก่อนล่วงหน้า ทำให้สมองสั่งระงับปฏิกิริยานี้ไม่ทัน จึงอดสะดุ้งและหัวเราะไม่ได้
ขอบคุณหนังสือชุดความลี้ลับมหัศจรรย์ของโลกวิทยาศาสตร์
ทำไมคนไม่สบายไม่ควรอาบน้ำ
โดยทั่วไปคนไม่สบายที่มีไข้สูง มักจะส่งผลให้ความต้านทานของร่างกาย ลดต่ำลงกว่าปกติ เมื่อไปอาบน้ำจึงทำให้ร่างกายหนาวสั่น เพราะผลจากความเย็นของน้ำ ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย
การอาบน้ำจึงเท่ากับเป็นการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ของร่างกายอย่างฉับพลัน อาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย โดยเฉพาะไข้หวัดซึ่งมักพบบ่อย และหากความต้านทานของร่างกายลดต่ำลงมากๆ อาจก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนอย่างอื่นนอกเหนือจากไข้หวัดอีกได้ เช่น ปอดบวม เป็นต้น
ดังนั้นคนที่มีไข้หรือไม่สบายจึงไม่ควรอาบน้ำด้วยเหตุฉะนี้
ที่มา: หนังสืออะไร อย่างไร และทำไม
ทำไมเราถึงฝัน
ทราบหรือไม่ว่า ทำไมคนเราเวลานอนหลับถึงฝันได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน... นักจิตวิทยาในช่วงศตวรรษที่ 19 หรือ 80-90 ปีที่ผ่านมา ได้ศึกษาเรื่องความฝันอย่างจริงจัง เพราะเชื่อว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิต ไม่ใช่ลางบอกเหตุในอนาคต กลับจะเป็นตัวบ่งชี้ความนึกคิดก่อนฝันเสียด้วยซ้ำ อย่างทฤษฎีของซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาชาวยิวที่ไปอยู่เยอรมัน แล้วเสียชีวิตที่ออสเตรเลีย ถือเป็นนักจิตวิทยาที่โด่งดังคนหนึ่งของโลกกล่าวไว้ว่า ความฝันเกิดจากจิตใต้สำนึกของคนเรา ซึ่งเป็นแรงผลักดันจาก Id หรือ อิด ซึ่งหมายถึงสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและเป็นความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่วนจิตใต้สำนึกคือความคิด ความรู้สึกที่เราไม่รู้ พูดง่ายๆ อีกได้ว่าความคิดความรู้สึกที่ไม่รู้คือจิตใต้สำนึก ส่วนที่รู้ก็ไม่เรียกจิตใต้สำนึก ยกตัวอย่างเช่น ช่วงที่เราตื่นอยู่เราไม่ได้คิดถึงฐานะความเป็นอยู่ แต่กลับฝันว่ามีเงินทองร่ำรวยและมีความสุขมาก นั่นแสดงว่าความรู้สึกลึกๆ ของเราอยากรวยนั่นเองฟรอยด์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ความฝันอาจเกิดจากความต้องการที่ไม่ได้รับการสนองตอบ ทำให้เกิดความคับข้องใจหรือเก็บกด จึงระบายออกมาเป็นความฝัน เช่น ตั้งใจว่าอยากไปดูฟุตบอลยุโรปทัวร์นาเม้นต์ต่างๆ ในสนามจริงๆ ถึงช่วงฮอตๆ เช่น บอลโลก บอลยูโร ก็เกิดความอยากอยู่เรื่อย เลยเก็บเอาไปฝัน กรณีนี้รวมไปถึงการหลงไหลได้ปลื้มใครสักคน โดยอาจจะนำไปฝันถึงสาวที่ปิ๊งอยู่ก็ได้ ส่วนการทำนายฝันตามตำราน่าจะเป็นศาสตร์คล้าย ๆ กับการทำนายดวงหรือหมอดูสุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกคนนอนหลับฝันดีกันทุกคืนเลย